เข้าสู่ระบบ

3 ขั้นตอนง่าย ๆ เลือกยางที่ใช่สำหรับคุณ
บทความนี้ THAI TIRE จึงจะมาแนะนำ 3 ขั้นตอนง่าย ๆ ในการ “ดู อ่าน เช็ค” ยางรถยนต์ เพื่อช่วยตามหายางที่ใช่สำหรับคุณ
เคยเป็นไหม? “เปลี่ยนยางทีไร หนักใจทุกที” ปัญหากวนใจยอดฮิตที่ผู้ใช้รถมักจะเจออยู่บ่อย ๆ ซึ่งสาเหตุหลักก็เป็นเพราะเราไม่รู้ว่าควรเลือกยางอย่างไรให้เหมาะสมกับรถและไลฟ์สไตล์ของตน ยิ่งยางรถยนต์ส่งผลต่อการเคลื่อนที่รถและความปลอดภัยบนท้องถนนด้วยแล้ว การเลือกยางที่เหมาะสมก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ต้องคิดให้ถี่ถ้วน ดังนั้น ในบทความนี้ THAI TIRE จึงจะมาแนะนำ 3 ขั้นตอนง่าย ๆ ในการ “ดู อ่าน เช็ค” ยางรถยนต์ เพื่อช่วยตามหายางที่ใช่สำหรับคุณ
ขั้นที่ 1 : “ดู” ประเภทของยาง
ขั้นแรก ควรเริ่มจากการทำความรู้จักกับยางรถยนต์แต่ละประเภท เพื่อช่วยในการเลือกยางที่เหมาะสมกับการใช้งานและตรงต่อความต้องการของเรามากที่สุด โดยทั่วไปแล้วยางรถยนต์มีอยู่ 3 ประเภท คือ
1.Highway Terrain (HT): ยางมาตรฐานที่นิยมใช้ทั่วไป ลักษณะเด่นคือ มีลายดอกยางขนาดเล็กและละเอียด เพื่อให้พื้นผิวยางสัมผัสกับพื้นถนนมากที่สุด นอกจากนี้ ตัวยางจะนุ่มกว่ายางประเภทอื่น ๆ ทำให้มีเสียงเบา เหมาะแก่การวิ่งบนทางเรียบ อย่างไรก็ตาม ยางแบบ HT จะไม่สามารถรับน้ำหนักในการบรรทุกได้มากเท่าไรนัก
2.All Terrian (AT): ยางลูกผสมที่เหมาะกับทั้งลุยทั้งชิลล์ ลักษณะเด่นคือ มีลายดอกยางขนาดใหญ่ หนา และน้ำหนักมากกว่าแบบ HT เล็กน้อย ทำให้มันใช้ได้ดีกับทั้งการขับบนถนนปกติ และขับลุยบนพื้นดินหรือบ่อโคลนตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ผิวยางไม่นุ่มเท่ากับยาง HT ทำให้ยางตัวนี้ มีเสียงดังกว่าเมื่อขับบนถนนนั่นเอง
3.Mud Terrian (MT): ยางที่ผลิตมาเพื่อสายลุยโดยเฉพาะ ลักษณะเด่นคือ มีดอกยางหนา ใหญ่ และร่องยางลึกกว่ายางประเภทอื่น ส่งผลให้สามารถขับบนถนนทุรกันดารได้ดีกว่าทั้งสองแบบที่กล่าวมาก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม เนื่องจากดอกยางลึก ตัวยางจึงไม่ค่อยเกาะพื้นถนนเท่าไรนัก ทำให้ยางตัวนี้ไม่เหมาะแก่การวิ่งบนถนนทั่วไป นอกจากนี้ มันยังเสียงดังและมีน้ำหนักมาก ทำให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และราคาสูงกว่ายางแบบอื่น ๆ อีกด้วย
ขั้นที่ 2: “อ่าน” รายละเอียดบนยาง
ยางรถยนต์ทุกเส้นจะมีรหัสอยู่บริเวณแก้มยาง โดยรหัสเหล่านั้นคือ ค่ารายละเอียดต่าง ๆ ของยางแต่ละเส้นนั่นเอง ตัวอย่างรูปแบบรหัสจะปรากฏในลักษณะ เช่น “205/55 R16 91W” ซึ่งแต่ละตัวสื่อถึง
205 คือ หน้ากว้าง หรือ ความกว้างของยาง (หน่วยเป็นมิลลิเมตร)
55 คือ ความสูงของแก้มยาง ซึ่งจากตัวอย่างนี้หมายถึง มีความสูง = 55% ของความกว้างยาง
R คือ Radial Construction หรือ ยางประเภทเรเดียล
16 คือ เส้นผ่านศูนย์กลางของล้อ (หน่วยเป็นนิ้ว)
91 คือ ดัชนีการบรรทุก หรือ ค่าน้ำหนักสูงสุดที่ยางสามารถรับได้
W คือ ดัชนีความเร็ว หรือ อัตราความเร็วสูงสุดที่ยางสามารถรับได้
นอกจากนี้ Treadwear ก็ยังเป็นอีกสิ่งหนึ่งบนยางที่ควรอ่านเพื่อเช็ครายละเอียดด้วยเช่นกัน โดยค่า Treadwear ยาง คือ ค่าการสึกหรอของยางรถยนต์ ตัวอย่างลักษณะที่ปรากฏ เช่น “TREADWEAR 260” ซึ่งมีรายละเอียดการอ่านค่าแบบคร่าว ๆ ดังนี้
ตัวเลขสูง = สึกหรอช้ากว่า อายุใช้งานยาวกว่า (เนื้อยางแข็งไม่ค่อยเกาะถนน)
ตัวเลขน้อย = สึกหรอเร็วกว่า อายุใช้งานสั้นกว่า (เนื้อยางนิ่ม เกาะถนน)
อาจกล่าวได้ว่า การอ่านค่ายางรถยนต์ ช่วยอำนวยความสะดวกอย่างมาก เมื่อถึงวาระที่ต้องเปลี่ยนยางเส้นใหม่ เพราะมันทำให้เราสามารตรวจเช็ครายละเอียด คุณสมบัติ และประเภทของยางรถยนต์ที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว
ขั้นที่ 3: “เช็ค” ตารางค่ายาง
จากขั้นตอนที่แล้ว มีรหัสอยู่ 2 ตัวที่เราจำเป็นต้องเอามาเทียบกับตารางดัชนียางหรือตารางค่ายางรถยนต์ เพื่อให้ทราบถึงสมรรถนะของยางได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น นั่นคือรหัส “91W” ซึ่งสามารถแยกได้ ดังนี้
Load Index คือ ค่าน้ำหนักสูงสุดที่ยางสามารถรับได้ ยิ่งมีตัวเลขมาก ก็ยิ่งรับน้ำหนักได้มาก เช่น จากตัวอย่าง เมื่อนำ “91” ไปเทียบกับตารางแล้ว พบว่าสามารถรับน้ำหนักได้ 615 กิโลกรัม/ ยาง 1 เส้น
Speed rating คือ อัตราความเร็วสูงสุดที่ยางสามารถรับได้ เช่น จากตัวอย่าง เมื่อนำ “W” ไปเทียบกับตารางแล้ว พบว่าสามารถรองรับความเร็วสูงสุดได้ที่ 270 กิโลเมตร/ชั่วโมง
Copyright 2023 All right reserved thaitire.com